Please use this identifier to cite or link to this item: http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/78215
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorMarisa Sukapattee-
dc.contributor.advisorSitthichai Wanachanarak-
dc.contributor.authorOnuma Sooksangen_US
dc.date.accessioned2023-06-29T01:01:47Z-
dc.date.available2023-06-29T01:01:47Z-
dc.date.issued2023-04-
dc.identifier.urihttp://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/78215-
dc.description.abstractPurpose: To evaluate the effects of single and double application of immediate dentin sealing (IDS) techniques on the marginal leakage and microtensile bond strength of resin cement. Materials and methods: Twenty-five extracted third molars were divided into five experimental groups in order to test the marginal leakage and microtensile bond strength of direct bonding, single and double application of IDS techniques using three-step etch-and-rinse (1TE&2TE), and universal (1U&2U) adhesive systems. For the single application of the IDS technique, dental adhesive was applied on the prepared dentin prior to temporary cementation. For the double application, dental adhesive was re-applied after polymerization of the first layer and before temporary cementation. After removing the temporary cementation, the dentin surface was cleaned with an excavator and pumice slurry. Resin cement was used to bond a composite rod to the dentin surface. All specimens were cyclic loaded (50N, 2Hz, 50,000 cycles) and immersed in marginal leakage solutions, and then sectioned into two parts. The first half was cut into small square beams for microtensile bond strength (TBS) testing, while the other half was examined under a light microscope for marginal leakage. Results: The 1TE and 1U groups provided significantly higher uTBS (23.56±3.26 MPa, 21.51±1.30 MPa) than the direct bonding technique (13.56±2.74 MPa) (p < 0.001). There was significant reduction of uTBS (2TE = 21.41±1.59 MPa, 2U = 17.51±2.80 MPa) (p < 0.01) after applying the second layer of adhesive. The marginal leakage was not significantly different in all groups. Conclusion: The two-layer IDS technique using either three-step etch-and-rinse or self-etch universal adhesive did not show any advantage in the uTBS testing or marginal leakage over the one-layer IDS techniques, which showed significantly greater uTBS than the direct bonding technique.en_US
dc.language.isoenen_US
dc.publisherChiang Mai : Graduate School, Chiang Mai Universityen_US
dc.titleEffects of single and double application of immediate dentin sealing techniques on marginal leakage and microtensile bond strength of resin cementen_US
dc.title.alternativeผลของการเคลือบด้วยเทคนิคการเคลือบปิดผิวเนื้อฟันทันทีหนึ่งและสองชั้นต่อการรั่วซึมตามขอบและความแข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาคของเรซินซีเมนต์en_US
dc.typeThesis
thailis.controlvocab.lcshDental cements-
thailis.controlvocab.lcshDental resins-
thailis.controlvocab.lcshDental materials-
thailis.controlvocab.lcshDental adhesives-
thesis.degreemasteren_US
thesis.description.thaiAbstractวัตถุประสงค์: เพื่อประเมินผลของการเคลือบปิดผิวแบบชั้นเดียวและสองชั้นของเทคนิคการเคลือบปิดผิวเนื้อฟันทันที ต่อการรั่วซึมบริเวณขอบ (Marginal Leakage) และความแข็งแรงยึดดึง ระดับจุลภาค (Microtensile Bond Strength) ของเรซินซีเมนต์ เครื่องมือและวิธีวิจัย: ตัวอย่างฟันกรามล่างซี่ที่สามจำนวน 25 ซี่จะถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มการทดลองเพื่อใช้ในการทดสอบการรั่วซึมบริเวณขอบและความแข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาคของการยึดติด โดยตรง (Direct Bonding) ตลอดจนทดสอบการเคลือบปิดผิวแบบชั้นเดียวและสองชั้นของเทคนิคการเคลือบปิดผิวเนื้อฟันทันทีโดยใช้สารยึดติดระแบบเซลฟ์ เอตช์ 3 ขั้นตอน (1TE&2TE) และแบบที่ใช้ระบบขั้นตอนเดียวในการเคลือบปิดผิวเนื้อฟัน (1U&2U) สำหรับการเคลือบปิดผิวแบบชั้นเดียวจะใช้สารยึดติดเคลือบลงบนเนื้อฟันที่เตรียมไว้ก่อนใช้ซีเมนต์ยึดชั่วคราว ส่วนการเคลือบปิดผิวแบบสองชั้นจะใช้สารยึดติดเนื้อฟันอีกครั้งหลังจากการเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันในชั้นแรกและก่อนใช้ซีเมนต์ยึดชั่วคราว หลังจากนำซีเมนต์ยึดชั่วคราวออกแล้ว จะทำความสะอาดผิวเนื้อฟันด้วยเครื่องมือขูดเนื้อเยื่อฟันและพัมมิซหนืด ใช้เรซินซีเมนต์เพื่อยึดติดแท่งคอมโพสิตเข้ากับผิวเนื้อฟัน ทุกตัวอย่างที่นำมาทดสอบจะได้รับแรงกระทำซ้ำๆ (50 N, 2 Hz, 50,000 รอบ) แล้วจุ่มลงในสารละลายทดสอบการรั่วซึมบริเวณขอบ จากนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างละครึ่ง โดยส่วนแรกจะถูกตัดแบ่งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมจัตุรัสชิ้นเล็กๆ เพื่อใช้ทดสอบความแข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาค (uTBS) ส่วนที่สองจะนำไป ตรวจสอบโดยใช้กล้องจุลทรรศน์น้ำหนักเบาเพื่อสังเกตการรั่วซึมบริเวณขอบ ผลลัพธ์: กลุ่ม 1TE และ 1U มีความแข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาค (23.56±3.26 MPa, 21.51±1.30 MPa) มากกว่า เทคนิคการยึดติดโดยตรง(13.56±2.74 MPa) (p<0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความแข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาค (2TE=21.41±1.59 MPa, 2U=17.51±2.80 MPa) (p<0.01) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังจากเคลือบปิดผิวเนื้อฟันแบบสองชั้น การรั่วซึมบริเวณขอบในทุก กลุ่มการทดลองไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปผลการวิจัย: เทคนิคการเคลือบปิดผิวเนื้อฟันทันทีแบบสองชั้นโดยใช้สารยึดติดระแบบเซลฟ์ เอตช์ 3 ขั้นตอน และแบบที่ใช้ระบบขั้นตอนเดียวในการเคลือบปิดผิวเนื้อฟัน ไม่ส่งผลต่อการทดสอบความแข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาคหรือต่อการรั่วซึมบริเวณขอบที่ใช้เทคนิคการเคลือบปิดผิวเนื้อฟันทันทีแบบชั้นเดียวแต่อย่างใด เทคนิคการเคลือบปิดผิวเนื้อฟันทันทีแบบชั้นเดียวมีความ แข็งแรงยึดดึงระดับจุลภาคมากกว่าเทคนิคการยึดติดโดยตรงen_US
Appears in Collections:DENT: Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
630931032-Onuma Sooksang.pdfแก้ไขตามคำแนะนำ5.46 MBAdobe PDFView/Open    Request a copy


Items in CMUIR are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.